เที่ยวมัลดีฟส์ 4 วัน 3 คืน สวรรค์บนผืนน้ำ พร้อมแนวทาง เที่ยวมัลดีฟส์ด้วยตัวเอง
“มัลดีฟส์” ทะเลที่หลายๆคนใฝ่ฝันจะไปสักครั้งในชีวิต เราเองก็เช่นกันอยากจะไป เที่ยวมัลดีฟส์ ภาพท้องฟ้าสีคราม หาดทรายสีขาว เสียงคลื่น ล่องลอยอยู่ในหัวเต็มไปหมด แต่มีสิ่งหนึ่งที่กังวลคือ “ภาษา” เราไม่เก่งภาษา มีคำถามเกิดขึ้นมากมาย “ไปเที่ยวต่างประเทศ ไปเที่ยวมัลดีฟส์ ไม่เก่งภาษาจะไปได้หรอ?”, “ไปถึงแล้วจะเที่ยว จะกิน จะสื่อสารกับเขารู้เรื่องหรอ?” แว็บบบ! สิ่งที่จะทำให้ความกลัวนี้หายไป คือ! “เทคโนโลยี” โทรศัพท์เราก็มี เน็ตเราก็มี และอีกอย่าง เจอเขาครั้งแรกและอาจจะเป็นครั้งเดียว มั่วๆไปละกัน เขาจำเราไม่ได้หรอก 555+
รู้จักกับ “มัลดีฟส์” กันคร่าวๆก่อนออกเดินทาง
ชื่อประเทศ: มัลดีฟส์ (Maldives) ชื่อเต็มๆคือ สาธารณรัฐมัลดีฟส์ (Republic of Maldives)
ชื่อเมืองหลวง: มาเล (Male) หรือ อ่านว่า “มาเล่” ก็ได้
ภาษา: ดิเวฮิ (Divehi)
สกุลเงิน: รูฟียา (Rufiyaa) หรือ อ่านว่า “รูเฟีย” ก็ได้
มัลดีฟส์ ตั้งอยู่บนมหาสมุทรอินเดีย ส่วนมากเป็นพื้นน้ำ มีเพียง 1% เท่านั้นที่เป็นเกาะ ประมาณ 1,1190 เกาะ เรียงตัวกันเป็นวงๆลักษณะคล้ายวงแหวน ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง รอบๆเป็นแนวประการัง
มัลดีฟส์ ที่ตั้งอยู่ใกล้กับเส้นศูนย์สูตร เป็นเขตร้อนชื้น รัฐบาลและประชาชนใส่ใจในการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างมาก มัลดีฟส์จึงมีทิวทัศน์งดงาม ทั้งทัศนียภาพบนบก ฟ้าใสกระจ่าง พุ่มไม้เขียวชอุ่ม ดอกไม้สีจัดจ้าน และในทะเลที่อุดมไปด้วยฝูงปลานานาชนิด เต่า ปู หลากหลายสายพันธุ์ ปะการังและดอกไม้ทะเลสีสันสดใสอุดมสมบูรณ์
เอาล่ะ! ไปลุยกันเลยย
ทริปนี้ไป 2 คน รวม 4 วัน 3 คืน (11-14 พ.ค. 2559)
เตรียมตัวก่อนออกเดินทางสู่ “มัลดีฟส์”
สิ่งที่เราควรรู้และควรเตรียมความพร้อมก่อนออกเดินทางไปเยือนมัลดีฟส์ สวรรค์ของคนชอบทะเล รู้ไว้ได้ประโยชน์ ไม่เสียหายแน่นอน อิอิ
- เวลา ที่เมืองหลวงมาเล่ของมัลดีฟส์เวลาจะช้ากว่าไทย 2 ชั่วโมง หรือ timezone +5 นั่นเอง เพื่อไม่ให้สับสน ไปถึงก็ปรับเวลาให้เรียบร้อย
- สายการบิน สายการบินที่ไปยังมัลดีฟส์ บางกอกแอร์เวย์ส (บินตรง) 2. Srilankan Airlines 3. Singapore Airlines 4. Malaysia Airlines
- ไม่ต้องขอวีซ่า สามารถอยู่ได้ถึง 30 วันโดยไม่ต้องขอวีซ่า มีเพียงพาสปอร์ตเล่มเดียวก็สามารถผ่าน ตม. ได้สบายๆ
- เที่ยวมัลดีฟส์เดือนไหนดี? ช่วง High Season ที่มัลดีฟส์จะอยู่ในช่วง ธันวาคม-เมษายน ถ้าไปช่วง มีนาคม-เมษายนก็จะร้อนหน่อย หลังจากนี้จะเริ่มเข้าสู่ช่วง Low Season คือช่วง พฤษภาคม-พฤศจิกายน จะเป็นช่วงมรสุม (ค่าที่พักจะถูกกว่าปกติ)
- สกุลเงิน ที่นี่ใช้ได้ทั้งเงินรูเฟียและดอลลาร์ (แลกเงินไปจากไทยเป็นดอลลาร์อย่างเดียวก็รอด)
- การเดินทางไปเกาะแต่ละเกาะของมัลดีฟส์ สามารถเดินทางได้ทั้ง Speed Boat หรือ Sea Plane (เครื่องบินน้ำ) อัตราค่าโดยสารจะแตกต่างตามระยะทาง
- ของใช้ส่วนตัวที่จำเป็น ครีมกันแดด รองเท้าแตะ แว่นตากันแดด และที่ขาดไม่ได้ถ้าใครเป็นโรคประจำตัวก็อย่าลืมพกยาไปด้วย
- ภาษา ที่มัลดีฟส์ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารกับนักท่องเที่ยว เราก็สามารถสปีคอิงลิชกับเขาได้เลย หรือ แนะนำสำหรับคนไม่เก่งภาษาแบบเรา ใช้วิธีพูดเป็นคำๆ ไม่ต้องเป็นประโยคก็ได้ เอาพอเข้าใจ
- เกาะ เกาะของมัลดีฟส์มีหลายเกาะ ส่วนใหญ่แล้ว 1 เกาะ 1 โรงแรม ใครสนใจทำธุรกิจรีสอร์ท&โรงแรม ไปซื้อเกาะแล้วสร้างรีสอร์ทได้นะ อิอิ รีสอร์ทสัญชาติไทย ที่มีคนไทยเป็นเจ้าของเท่าที่พอรู้มีอยู่ 2-3 รีสอร์ทในมัลดีฟส์
อุปกรณ์ก่อนออกเดินทาง “เที่ยวมัลดีฟส์” ในครั้งนี้
- กล้อง GoPro Hero 4 + ไม้ pole (ไม้เซลฟี่) + ทุ่นลอยน้ำ
- โดรน Phantom 3 Advanced
- กล้อง Cannon EOS 6D + เลนส์ Fix 50mm f1.8 + เลนส์ Wide 24-70mm
- โน้ตบุ๊ก Macbook Pro
- กล้อง Fujifilm X-A2
- iPhone 6 และ iPhone 5S
เที่ยวมัลดีฟส์
เกาะที่เราจะไปคือ Gangehi Island Resort เป็นรีสอร์ท 5 ดาวที่อยู่ออกไปทางตะวันตกของ Male เมืองหลวงของมัลดีฟส์ไปประมาณ 100 กิโล
Bangkok Airways เป็นสายการบินแบบบินตรงจากสนามบินสุวรรณภูมิถึงมัลดีฟส์ โดยไม่ต้องจอดเปลี่ยนเครื่องแบบสายการบินอื่นๆ และมีวันละเที่ยวเท่านั้น! ใครจะไปด้วยสายการบินนี้เช็ควันเวลาเดินทางให้ดีนะ เช็คราคา, เวลา, วันเดินทางได้ที่เว็บหลัก Bangkok Airways http://www.bangkokair.com/
เช้าวันที่ 11 พ.ค. 59 เราถึงสนามบินสุวรรณภูมิ 6 โมง 10 (หิวข้าวมากบางทีเราก็ควรหาของกินก่อนมาถึงนะ 555 มาถึงเช้ากว่าที่คิดไว้เยอะ เพราะเปลี่ยนแผนจากจะนั่ง Airport Link มานั่ง Taxi แทน ซึ่งจริงๆแล้วถ้ามา Airport Link ก็ยังมีเวลาเหลืออีกเยอะ สำหรับคนที่จะมาโดยรถไฟฟ้า Airport Link เที่ยวแรกจะออกจากสถานีพญาไทประมาณ 6 โมงเช้า ถึงสนามบินใช้เวลาประมาณ 30 นาที เช็คตารางเวลาได้ที่นี่ http://www.srtet.co.th/)
แล้วเราก็นั่งรอเวลา Counter ของ Bangkok Airways เปิดให้เช็คอินตอน 7 โมง
เช็คอิน+โหลดกระเป๋าสัมภาระเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราจะได้บัตรขาเข้าขาออกมา 1 ใบ
เราเดินไปตามป้ายบอกทางผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ และกรอกรายละเอียดข้อมูลตัวเองลงบัตรและผ่านด่าน ตม. ขาออกไปยัง Gate
ไม่ได้ถ่ายรูปบัตรขาเข้าขาออกมาด้วย เลยต้องไปยืมรูปในเน็ตมาประกอบ หน้าตาก็จะไปประมาณนี้
หน้าตาบัตรขาเข้า(เขียนไว้ตอนกลับเข้ามาไทย)
หน้าตาบัตรขาออก (เขียนไว้เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจตอนออกจากไทย)
เราเดินมารอที่ Gate สักพักจนเวลาประมาณ 9 โมงเศษ แล้วพนักงานก็พาเราไปขึ้นรถบัสเพื่อพาไปขึ้นเครื่องที่จอดอยู่อีกฝั่ง
09:30 น. ได้เวลาโบยบินกันแล้ววว บ๊ายบายไทยแลนด์ ซียูอะเกน
บนหน้าจอจะมีวิดีโอแนะนำการใช้อุปกรณ์ต่างๆไม่มีพนักงานมาดึงๆชูมือขึ้นแล้วหมุนๆให้ดูเลยย
หลังจากที่เครื่อง take off ได้สักพักพนักงานก็แจกใบนี้มาให้ 1 ใบ เป็นบัตรขาเข้าขาออกมัลดีฟส์ ตามสเต็ปอ่ะ ลืมเอาปากกามา ตอนเขียนขาออกจากไทยก็ยืมพนักงาน 555
มองซ้ายมองขวา เอ้ามีคนขอปากกาพนักงาน รอช้าอยู่ใย เราขอบ้างสิ หุหุ
มาเรื่อยๆไม่ว่าจะเป็นหูฟัง ขนม อาหาร ของว่าง มาแบบไม่หยุด
จิบไวน์แดงพร้อมกับดูวิวด้านนอกไปด้วย ชิลล์ไปอีกกก
ช่วงเวลาประมาณ 4 ชั่วโมงที่อยู่บนเครื่อง นั่งๆนอนๆ หลับบ้างตื่นบ้าง แล้วช่วงเวลาของความตื่นเต้นก็เริ่มขึ้น
เครื่องเริ่มลดระดับลง มองไปด้านล่าง เห็นพื้นน้ำสีครามสลับฟ้า สวยสดใสสุดๆ ^0^
ถึงแล้วว สนามบินนานาชาติ อิบราฮิม นาเซอร์(คนที่นี่จะออกเสียงว่า “นาซี”)
สนามบินที่นี่เป็นสนามบินที่เล็กๆอย่างที่รู้กันว่าเมืองเขาเป็นเมืองเล็กๆน่ารักๆ
พอมาถึงก็รีบเดินๆเข้าไปยังอาคารผู้โดยสาร แล้วก็เดินตามเพื่อนร่วมทางคนอื่นๆที่เขาเดินไป พอถึงจุด passport control ยื่น passport ยิ้มให้กล้องเป็นที่ระลึกสักหน่อย
เจ้าหน้าที่ตรวจเอกสารที่นี่น่ารักดี ยิ้มตลอดๆ และในที่สุดเราก็ได้เข้าประเทศมัลดีฟส์อย่างเป็นทางการ อิอิ
สัมภาระที่เราโหลดลงใต้ท้องตอนออกจากสนามบินสุวรรณภูมิจะถูกลำเลียงมาที่นี่ เราก็หยิบเอาสัมภาระของตัวเองนะไม่ใช่เนียนไปหยิบกระเป๋าคนอื่น 555
เดินมุ่งหน้าไปยังทางออกจะมีเจ้าหน้าที่เช็คสัมภาระที่เราไม่ได้โหลดมาต้องนำเข้าเครื่องสแกนเช็ควัตถุต้องสงสัยก่อน พอเดินออกมาจะมีพนักงานจากรีสอร์ทต่างๆถือป้ายมายืนรอต้อนรับอารมณ์คล้ายๆรอต้อนรับซุปตาร์จากเกาหลีอะไรประมาณนั้น ส่วนมากแล้วจะเป็นรีสอร์ทหรูๆ ส่วนเราน่ะเหรอ..หึ หึ หาเองสิ ก็ไม่ขนาดน้านนน 55
เอ๊ะ! เราลืมอะไรไปหรือเปล่า? ซิมๆๆ ซิมการ์ดเล่นเน็ต รีบดิ่งไปที่ร้านขายซิมด่วนเลยย ร้านอยู่ด้านขวาถ้าออกมาจากทางออก
จำได้คร่าวๆราคา จะอยู่ที่ $20 แต่ตอนซื้อเหมือนโดนค่าธรรมเนียมเลยเป็น $22 ได้ 4G ประมาณ 15GB (ตัวเลขไม่แม่น) ใช้ได้ถึง 7 วัน ซื้อแล้วก็ให้เขาเปลี่ยนแล้วตั้งค่าให้ได้เลย กรณีเราไม่ได้เอา Pin จิ้มถอดซิมไปด้วยก็ขอให้เขาจิ้มให้ได้นะ พนักงานที่เราคุยด้วยเขาถอดต่างหูมาจิ้มให้ น่ารักจริงๆ 555
4G บ้านเขาก็ไม่ใช่ธรรมดาๆ เทสสปีดให้ดูกันหน่อย
เคาท์เตอร์ที่ 06 Sun Ocean คือจุดนัดหมายแรกของทริปนี้ ซึ่งถ้าดูจากรูปจะไม่มีเจ้าหน้าที่ยืนอยู่(เอาไงดีล่ะทีนี้ ได้เวลามั่วภาษา กดเบอร์ที่เขาให้มา) หลังจากจบการสนทนาแบบมั่วๆ ประมาณ 5 นาทีเจ้าหน้าที่ก็พาไปยังเครื่องชั่งน้ำหนักสัมภาระก่อนที่จะนำไปโหลดลงใต้ท้องเครื่อง Sea Plane
พนักงานให้ Bording Card มาคนละ 1 ใบและนำทางเราไปขึ้นรถบัสเพื่อไปยังสนามบินน้ำที่อยู่บนเกาะเดียวกัน ห่างออกไปประมาณ 2-3 กิโลเมตร
เมื่อมาถึงสนามบินน้ำ จะมีพนักงานต้อนรับ บอกข้อมูลเรื่องเวลา เที่ยวบิน และ Gate ให้กับเรา
รอเวลาเครื่องออก 13.30 น. ตามเวลาของ Malé เรามาถึงที่นี่ก่อนเวลาเครื่องออกราวๆ 50 นาที
ทำให้เรามีเวลาถ่ายรูปเล่นไปพลางๆ
ที่นี่เป็นลานจอดเครื่องบินน้ำ จะแบ่งเป็นหลายๆลาน TERMINAL C คือจุดหมายที่รถบัสพาเรามาส่งในครั้งนี้
จะแบ่งออกเป็น gate A, B, C มันตื่นเต้นตรงที่มีรันเวย์เป็นนี่สิ เวลาจะ take off หรือ landing จะรู้สึกต่างจากเครื่องบินปกติยังไง 😀
สักพักมีเจ้าหน้าที่เดินตามหาแล้วก็มาเจอเรา เรียกให้ไปนั่งดูวีดิโอก่อนขึ้นเครื่อง ตามหาเหมือนตามหาคนหายเลยอ่ะ(คิดในใจ เราไม่ผิดใช่ไหม แค่เราไม่รู้ว่าต้องไปนั่งดูวีดิโอก่อนครึ่งชั่วโมง 555)
13.30 น. ได้เวลาขึ้นเครื่อง เครื่องแต่ละลำจะมีที่นั่งประมาณ 10-16 ที่จำตัวเลขจริงๆไม่ได้ ???? เที่ยวบินของเราจะบินไปและแวะจอดผู้โดยสารตามเกาะต่างๆ 2 เกาะ ก่อนจะถึงเกาะ Gangehi ซึ่งจะมีบอกบนป้ายตอนเดินเข้ามาถึงสนามบินน้ำที่มีพี่พนักงานบอกข้อมูล
เที่ยวบินนี้มีความเซอร์ไพร์ส ผู้หญิงที่คอยอำนวยความสะดวกเรา(รูปด้านบน) เขากลายมาเป็นกัปตัน!! ????
ใช้เวลาอยู่ 10 นาที กัปตันทั้งสองก็พาเราเหินเวหาขึ้นมาโบยบิน จังหวะตอน take off มันเป็นอะไรที่ตื่นเต้น น้ำที่ซัดสาดจากผิวน้ำมาที่ใบพัดแล้วกระเด็นมาตรงกระจกที่เรานั่งอยู่ มันเป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่
ระหว่างที่เครื่องบินยกตัว มองไปด้านล่างจะเห็นเป็นน้ำสีฟ้าอ่อนบ้าง เข้มบ้าง สลับกัน โคตรตื่นเต้น มันบอกไม่ถูก ถ้าเที่ยวนี้มีเพียงเรา ก็คงจะโวกเวกโวย แต่สุดท้ายเราก็ต้องเก็บอาการไว้ก่อน อิอิ
พอมาถึงเกาะ Gangehi เวลาประมาณ 15.00 (เวลาบนเกาะ Gangehi จะบวกไปอีก 1 ชั่วโมงของเมืองหลวง Malé)
โดยปกติแล้วพนักงานต้อนรับจะนำผ้าหอม ม่วนเป็นแท่งกลมๆ ยื่นให้เรา ใช้สำหรับเช็ดมือหรือเช็ดหน้าก็ได้
พนักงานจะพาเรามาที่ robby เพื่อทำเรื่องเช็คอินและจ่ายค่าเครื่องบินน้ำที่พามาที่นี่
พนักงานเดินพาเรามาที่ห้องพัก เที่ยวมัลดีฟส์ ในครั้งนี้เราจองแบบ Over Water เหนือน้ำทั้งหมด 2 คืน มองจากภายนอก หลังคาและตัวห้องจะเป็นไม้แผ่นยึดติดกัน ฐานเป็นคอนกรีต ดูแข็งแรงหายห่วง
พอได้เข้ามาในห้องแล้วรู้สึกได้ว่าโอ่โถง หรูหรามากกก
เตียงนอนแบบ King Size นอนได้สองคน (แต่ก็นอนคนเดียวนะ เพื่อนเขาอยากนอนเตียงเดี่ยว)
อีกเตียงเป็นแบบ Single bed นอนคนเดียว (สังเกตตรงกลางภาพนะ พลาดถ่ายแบบเดี่ยวๆมา >_<)
ภายในห้องมีสิ่งอำนวยความสะดวก โทรศัพท์ ของว่าง น้ำผลไม้ ขนม ตู้เซฟเก็บของไว้อำนวยความสะดวกเวลาออกไปเดินเล่น ดำน้ำ หรือทำกิจกรรมข้างนอก
เสบียงในตู้เยอะแยะมากมาย เครื่องดื่มในตู้นี้รวมๆกันก็คงหลักพันกลางๆถึงปลายๆ บวก service charge + tax รวมๆอีก 20% ถ้าซัดหมดนี่ราคาคงจะเช่าห้องได้อีกคืนอ่ะ 555
เราก็ไม่รอช้าที่จะแง้มประตูออก พอเปิดประตูออกมาจะเจอระเบียงมีบันไดยื่นลงไปในน้ำ สามารถเดินลงไปเล่นตอนไหนก็ได้ ข้างบนมีเก้าอี้เอนนอนอาบแดด พร้อมให้นอนเอนหลังฟังเสียงคลื่นแบบ slow life หรือดึกๆคนที่มากับแฟนมานั่งดูดาว ฟังเสียงคลื่น สวีทกันคงจะดีไม่น้อย ????
ห้องน้ำกว้าง ถ้ามากันเยอะก็สามารถเข้ามานอนในนี้ได้(อ้าวไม่ใช่ละ)
พวกแชมพู ครีมนวดผม ทำจากธรรมชาติ อย่างที่รู้มา เขาค่อยข้างเคร่งเรื่องความสะอาดมากๆ
เช้าวันแรก
ระหว่างรอเวลามื้อเช้า เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราก็มาถ่ายรูปชายหาดกันก่อน
รู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษที่ได้เห็นเจ้านกตัวนี้มายื่นริมๆหาดแบบไม่กลัวคน ถ้างั้นก็ยืมตัวมาเป็นแบบสักหน่อย
หาดทรายจะอยู่ใกล้กับที่พัก เดินมาประมาณ 20 เมตรก็ถึงแล้ว
หาดทรายฝั่งนี้เป็นทรายแหวกหรือที่เราเรียกกันว่า “ทะเลแหวก” ยาวออกไปประมาณ 200 เมตร คู่รักเขาก็มาเดินเล่น ถ่ายรูปกัน
กลางทะเลแหวกมีเปลให้นอนเล่นด้วยนะ แต่ตะไคร่น้ำเยอะไปหน่อย 555
มื้อเช้าที่นี่จะเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ เริ่มตั้งแต่ 08:00-09:30 อาหารเยอะแยะมากมาย เดินจากที่พักไปประมาณ 100 เมตรก็ถึงแล้ว เลือกคีบเลือกตักได้ตามสบาย
หลังจากนั้นก็เป็นช่วงเวลาพักผ่อนของเรา ถ่ายรูป ดำน้ำดูปะการัง
อุปกรณ์ช่วยถ่ายภาพมุมสูงของเราในครั้งนี้
ภาพรวมของเกาะนี้เราทำออกมาเป็นวิดีโอให้ชมกัน
ได้มาแล้ว ไอเท็มในการดำน้ำของเรา
รอจนแดดน้อย ก็ได้เวลาจัดดด
ปะการังที่เราถ่ายมาจะเป็นปะการังน้ำตื้น ถ้าออกไปไกลๆจะได้เห็นแบบสวยๆ(เสียดายนิดๆ)
เจ้าตัวดำๆคืออะไรไม่รู้ น่าจะปลิงทะเลหรือตระกูลนั้นแหละ อิอิ
น้ำนี่ใสมากกก เหมือนอยู่ในสระว่ายน้ำ
ภาพใต้น้ำก็พอหอมปากหอมคอ รอท่านผู้ชมออกไปสัมผัสด้วยตัวเองนะ
ก่อนกลับไทย
เรามาพักกันที่ Pine Lodge Hotel โรงแรม 3 ดาว อยู่ทางตะวันออกของสนามบิน ระยะทางประมาณ 2-3 กิโลเมตร การจะมาที่นี่จะมีรถของทางโรงแรมไปรับ เกาะนี้จะเป็นเกาะที่เชื่อมกับสนามบินสามารถขับรถไปได้ เป็นที่พักของชาวมัลดีฟส์ โรงแรมต่างๆ ลักษณะจะเป็นตึกสูง 3-4 ชั้นเรียงรายกันอยู่รอบๆ ถนนหนทางยังไม่ค่อยเรียบร้อยดี สิ่งปลูกสร้างต่างๆกำลังผุดขึ้นเรื่อยๆ ผังเมืองที่นี่ถูกวางไว้อย่างดี ไม่ว่าจะเข้าไปซอยไหนก็สามารถทะลุหากันได้
พอมาถึงโรงแรม พนักงานต้อนรับก็เอาน้ำผลไม้มาเสริฟ ซึ่งก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคือน้ำอะไร 555 กลิ่นคล้ายๆฟักทอง รสชาติจะออกหวานๆเปรี้ยวๆ รวมๆละก็อร่อยลงตัว
พนักงานพาเราขึ้นมายังที่พัก แท๊น แท๊น แท่นนน มันเป็นอะไรที่น่าอยู่มาก ห้องเล็กๆน่ารักๆถ้ามากับแฟนแนะนำให้จองเตียงเดี่ยวจะเหมาะกว่า อิอิ
แพลนต่อไปเราจะเดินทางไปที่เกาะเมืองหลวง Malé เพื่อไปดูว่าเมืองเขาเป็นยังไงแล้วก็ซื้อของฝากติดไม้ติดมือกลับไทย
พนักงานของโรงแรมบอกกับเราว่าจะต้องเดินไปขึ้นรถที่ป้ายรถเมล์ข้างหน้าเดินไปประมาณ 2 นาที
การจะไปเมืองหลวงมาเล่ต้องนั่งเรือข้ามฟากไปจากสนามบิน ซึ่ง Shuttle Bus คันนี้จะพาเราไป
พอมาถึงก็เดินไปซื้อตั๋ว ค่าเรือข้ามฟากจะอยู่ที่คนละ $1
เรามาถึงแล้ววว Malé เมืองหลวงมัลดีฟส์ ที่นี่เป็นเมืองเล็กๆมีพื้นที่ประมาณ 2.5 ตารางกิโลเมตร ตึกสูงประมาณ 2-3 ชั้น ถนนจะไม่ค่อยกว้าง ช่วงเย็นผู้คนเริ่มทยอยออกมาเดินตามท้องถนน มอเตอร์ไซค์ที่นี่เยอะมากๆ เดินๆอยู่ก็ต้องระวังๆกันให้ดีๆ อาจจะโดนเฉี่ยวได้ แฮ่ๆ
อันดับแรกเปิด map หาร้านอาหารกันก่อนเลย ร้านอาหารที่นี่จะกระจายมุมตึกบ้าง ซอยเล็กๆบ้าง จากที่เราอยู่ที่นี่มาก็เข้าวันที่ 3 แล้ว 2 วันก่อนหน้ากินแต่อาหารฝรั่งก็รู้สึกอยากกินอาหารไทยบ้าง ก็ไปเจอร้านนึง ชื่อว่า “Sala Thai Restaurant” เอาล่ะ! ได้เวลาออกตามหา
พอเดินมาได้สักพักก็ถึงสักที ถ้าไม่สังเกตดีๆจะไม่เห็นป้ายหน้าร้านกับทางเข้า งานนี้ก็ต้องขอบคุณ Google Maps ที่พาเรามาถึงจุดหมายได้อย่างแม่นยำ
บรรยากาศภายในร้านศาลาไทยแห่งนี้ค่อนข้างโรแมนติก แสงไฟสลัวๆ เพลงสากลช้าๆ ฟังสบายๆ
เมนูอาหารที่นี่จะเป็นอาหารไทยทั้งหมด ชื่อเมนูอาหารก็เขียนทับศัพท์เป็นภาษาไทย อย่างเช่น “Pud Thai”
เมนูที่สั่งมี ผัดไท ทอดมันปลา ส้มตำ ลาบไก่ และอีกเมนูเป็นข้าวผัดศาลาไทย ซึ่งเป็นสูตรของทางร้าน
พนักงานที่นี่น่ารักมากก ยิ้มแย้มดูเป็นกันเอง เราพูดผิดเขาก็เข้าใจ 555
ทอดมันปลา
ผัดไท
ข้าวผัดศาลาไทย
ส้มตำไทย
อาหารทั้งหมดที่สั่งมาบอกตรงๆว่าอร่อยทุกอย่าง แต่น่าเสียดายที่เรากินอาหารบางอย่างไม่หมด ไม่คิดว่า ผัดไท และ ข้าวผัดศาลาไทย จะจานใหญ่ขนาดนี้ กินหมดเฉพาะที่สั่งมากินเองของแต่ละคนนี่แทบจะอิ่มแล้ว แทบอยากจะห่อกลับไปกินที่โรงแรมต่อ 555
พอเสร็จจากกินข้าวประมาณ 2 ทุ่ม เราก็เดินหาร้านของฝากรอบๆ แต่น่าเสียดายที่ร้านส่วนมากปิดหมดดด T T เอาล่ะ!อย่างน้อยๆเราก็ได้มากินอาหารไทยรสชาติอร่อยๆ ไม่ได้ของฝากกลับไปก็ไม่เป็นไร และเราก็เดินกลับไปที่จุดจอดเรือข้ามฟาก เพื่อซื้อตั๋วกลับไปยังที่โรงแรม
ช่องซ้ายสุดไปจอดตรงที่ Hulhumale ซึ่งเป็นจุดจอดที่ใกล้ที่พักเรามากที่สุด ครั้งแรกซื้อตั๋วผิดไปลงสนามบินเฉยเลย เพราะตอนแรกมาขึ้นเรือตรงท่าเรือหน้าสนามบิน แต่ขากลับเราไม่จำเป็นต้องไปลงหน้าสนามบิน ไปลงเกาะที่พักได้เลยย
ตั๋วคนละ 5.5 รูเฟีย ประมาณ 12 บาทไทย ถือว่าไม่แพงเลย ซึ่งจะไปลงหน้าสนามบินเราจะต้องเสียคนละ $1 หรือประมาณ 35 บาท สองเท่าอ่ะ แถมยังต้องต่อรถไปที่พักไกลกว่าอีก อันนี้เป็นอีกทางเลือกนึงสำหรับคนที่พักในเกาะ Hulhumale
ซื้อตั๋วเสร็จ เดินผ่านด่านตรวจตั๋วเข้ามารอขึ้นเรือ
ขึ้นมาบนเรือแล้ววว ที่นั่งจะแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งละ 5 ที่ แถวนึงก็ 10 ที่นั่ง มีหลายแถวเหมือนกันนะ ไอ้เราก็ไม่ได้นับมา อิอิ นั่งได้เป็นร้อยคนได้มั้ง
ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง เจ้าเรือคันนี้ก็พาเรามาถึงจุดหมาย ระหว่างทางที่นั่งมาน้ำกระเด็นเข้ามาตลอด ขนาดปิดกระจกแล้วนะ เป็นอีกฟีลที่แปลกใหม่ดี 555
ฝั่งเกาะ Hulhumale ผู้คนอาศัยอยู่เยอะมากเป็นชุมชน มีรถบัสรถแท็กซี่วิ่งถึงดึกๆ รถบัสที่นี่จะเป็นแบบรถเวียนหรือที่เขาเรียกกันว่า Shuttle Bus แต่ละสายจะจอดต่างป้ายกัน เราต้องลองถามคนขายตั๋วบนรถหรือคนแถวๆนั้นว่าถ้าเราจะไปโรงแรมนี้ต้องขึ้นคันไหน อยากจะบอกว่าเราขึ้นผิดด้วย นั่งรถเล่นไปรอบนึงกลับมาที่เดิม เสียเงินฟรี ถึงจะขึ้นถูกคัน 555
เช้าวันที่สุดท้ายก่อนกลับไทย
Breakfast ของที่นี่
10.40 น.ได้เวลา Check Out ทางโรงแรมพาเรามาส่งที่สนามบิน เพื่อรอเช็คอินรอเครื่องออกตอนเที่ยง 40
ถึงเวลาของเราแล้ว(คิดในใจ เราจะต้องจากกันไปแล้วนะมัลดีฟส์ T T)
ขอเก็บภาพนี้ไว้เป็นที่ระลึกสักภาพปีนี้ VISIT MALDIVES 2016
เข้ามารอเวลาขึ้นเครื่องกลับไทย
เงินสกุลรูฟียาเก็บมาเป็นที่ระลึก 😀
บ๊าย บาย มัลดีฟส์ เราต้องไปก่อนนะ แล้วจะกลับมา เที่ยวมัลดีฟส์ ใหม่นะ ☺
แนะนำสำหรับท่านที่จะไปเที่ยวมัลดีฟส์ถ้าไปกันหลายๆคนจะช่วยประหยัดค่าที่พักได้เยอะ และสำหรับคนที่มีคนรู้ใจไปกันสองคนก็คงเป็นอะไรที่โรแมนติกสุดๆ