รีวิวเที่ยวเกาหลีใต้! เยี่ยมชมพระราชวังโบราณ ตะลุยกรุงโซล และหาของกินแถบย่านเมียงดง
“เที่ยวเกาหลีใต้” ทริปนี้เป็นการเดินทางครั้งแรกของพวกเรากลุ่มเพื่อนทั้ง 6 คน ที่เกาหลีใต้ ตอนแรกมีเลือกอยู่ในความคิดหลายแห่งมากที่อยากไป และทุกประเทศที่เรากับกลุ่มเพื่อนช่วยกันเสนอมานั้นน่าสนใจทุกที่ แต่เหตุผลที่ทุกคนตกลงไปเกาหลี เพราะเราหน้าตาเหมือนบอยแบนด์……….! 5555 ล้อเล่น จริงๆแล้วเหตุผลพวกเราคืออยากประเทศที่มีอากาศหนาว ยิ่งเป็นในช่วงของเดือนธันวาคม ใกล้ปลายปีแล้วคงรู้สึกหนาวมากๆ และอยากที่จะไปเที่ยวต่างประเทศกันด้วยครับ
รู้จักกับเกาหลีใต้กันก่อนครับ!!!
เกาหลีใต้ ลักษณะภูมิประเทศ ตั้งอยู่บนคาบสมุทรเกาหลี ทอดตัวไปยังมหาสมุทรแปซิฟิกทางด้านทิศใต้ ภูมิประเทศส่วนใหญ่จะเป็นเทือกเขา ถึง 70 % ทำให้ประเทศเกาหลี เป็นประเทศที่มีเทือกเขามากที่สุดอีกประเทศหนึ่ง และยังมีพื้นที่การทำเกษตรกรรมเป็นหลักของประเทศ
เมืองหลวงของเกาหลีใต้คือ : “กรุงโซล”
ค่าเงินเกาหลีใต้ : 1 บาทไทย เท่ากับ ประมาณ 33 วอน
ทริปนี้ พวกเรากลุ่มเพื่อนไปด้วยกันทั้งหมด 6 คน รวม 3 คืน 4 วัน
เอาละ เกริ่นกันมามากพอแล้วถึงเวลาไปลุยกันแลัวครับ……
Day 1
การเดินทาง
พวกเราใช้บริการของสายการบิน Air Asia โดยจองผ่านเว็บไซต์ทั้งขาไปและขากลับ
ขาไป ดอนเมือง – อินชอน เวลา 02.00 น. – 07.40 น.
ขากลับ อินชอน – ดอนเมือง เวลา 19.25 น. – 23.00 น.
(ตามเวลาประเทศไทยโดยประมาณ)
เมื่อเครื่องขึ้นบินได้ซักพัก พี่พนักงานแอร์โฮสเตส จะแจกใบกรอกข้อมูลสำหรับตรวจคนเข้าเมือง
ถ้าเราไม่รู้หรือว่าไม่มั่นใจจะเขียนข้อมูลตรงช่องไหนยังไง ทางสายการบินจะมีตัวอย่างให้ดูที่เสียบอยู่ตรงเบาะนั่ง
ถึงแล้ว…เกาหลีใต้!
เดินทางร่วม 6 ชั่วโมง ลงจากเครื่องที่สนามบินอินชอน พร้อมแบกเป้กระเป๋าด้วยอาการงัวเงีย เพราะเพิ่งตื่น และใช้ทักษะในการคาดเดาโดยเดินตามคนอื่น ๆ ไป อิอิ?
ยืนรอ Airport Rail Link ก่อนที่จะไปสถานที่ตรวจคนเข้าเมืองที่เลื่องชื่อว่าโหดมาก ?
ในที่สุดก็ถึงจุดนี้จนได้ ยืนรอตรวจคนเข้าเมือง คนเยอะมาก ตอนแรกคิดว่า ตม. เกาหลี โหดที่ตามที่ได้ค้นหาทางโซเชียล… จริง ๆ ก็ไม่ได้มีอะไรมากเลยครับ แค่ตอบคำถามตามจุดประสงค์ที่เรามา ไม่ทำผิดกฏหมายของบ้านเขา แค่นี้ก็ไม่ต้องกลัวสำหรับคำถามเลยครับ เพราะ ตม. เขาก็ต้องทำตามหน้าที่ของเขาเช่นกัน อย่าลืม passport และใบตรวจคนเข้าเมือง ยื่นให้ ตม. ด้วยนะครับ
เอาหล่ะ ผ่าน ตม. เข้ามาได้สำเร็จกันทุกคนแล้ว หาที่นั่งพักเพื่อวางแผนการเดินทางไปยังที่พักกันก่อน
เดินหาของกินในร้านสะดวกซื้อที่สนามบิน แต่ ได้ T money กับ Sim card มาแทน บอกไว้ก่อนเลยนะครับว่า T money ราคาประมาณ 125 บาท มีประโยชน์มากไม่ว่าจะ ขึ้นรถบัสหรือรถไฟฟ้า แค่เติมเงินเข้าบัตรตามตู้แต่ละสถานีก็ใช้งานได้แล้วครับ และค่าใช้จ่ายการเดินทางไม่ว่าจะเป็นรถบัสหรือรถไฟฟ้าจะถูกกว่าจ่ายด้วยเงินสดอีก แนะนำให้ซื้อติดตัวไว้เลยครับ วิธีใช้ก็เหมือนกันบัตร Rabbit Card บ้านเราแหละครับ……… ส่วน Sim card ราคาประมาณ 1,000 บาท หรือจะเป็นประเภท Pocket Wifi แต่ต้องขอบอกว่าไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่เพราะแพงมากครับ ถ้ายิ่งไปเที่ยวอยู่ในแถว Soul แบบพวกเราแล้วหละก็ไม่จำเป็นเลยครับ เพราะแต่ละสถานที่เขามี Free Wifi ให้ใช้ครับ แรงมากด้วย
เมื่อมองหาเส้นทางที่จะไปที่พักเสร็จ พวกเราตกลงเดินทางกันโดยรถบัส จึงมองหาที่สำหรับขายตั๋วรถบัส สงเกตุที่ตู้จะเขียนว่า Bus Ticket ที่จริงไปทางรถไฟก็ได้นะครับถูกกว่าแถมเร็วกว่าอีกด้วย แต่ไม่เป็นไรถือว่าผิดเป็นครูครับ ? (ออกมาข้างนอกแล้วอากาศหนาวเย็นกันเลยทีเดียว แต่เป็นอากาศหนาวแบบแห้งๆ ไม่มีหมอก อากาศอยู่ที่ประมาณ -4 องศา เซลเซียส ยังพอทนได้)
ราคาตั๋วต่อที่นั่งอยู่ที่ประมาณ 500 บาท ใช้เงินสดซื้อ (แต่หลังจากซื้อตั๋วเสร็จพวกเราก็ลืมไปว่าเรามี T-money นี่หน่า 5555 สรุปลืมใช้)
เดินหาป้ายรถบัส หมายเลข 6015 เพื่อมุ่งตรงไป เมียงดง กันเลยครับ เราจองที่พักที่มีชื่อว่า K Guesthouse N Seoul Tower 1 เป็นที่พักแถบย่านเมียงดง
มาแล้ววววว รถที่จะไปเราไปถึงที่พัก go go มุ่งหน้าสู่ เมียงดง ?
ขึ้นรถแล้ว เบาะนั่งกว้างขวางนั่งสบายแถมอุ่นอีกด้วย หลับยาวเลยครับทีนี้ ไม่มีอะไรที่จะขัดขวางการนอนได้ คร๊อกกก ?
เอาหล่ะ หลับยาวเกือบชั่วโมงกว่า รถบัสก็พามาถึงที่ (แล้วรู้ได้ไงว่าถึง เมียงดงแล้ว….ให้ฟังชื่อป้ายรถที่จะจอดครับ เขามีพูดภาษาอังกฤษบอกด้วย ไม่ใช่เสียงลุงคนขับนะครับ เป็นเสียงจากระบบบนรถโดยสารของประเทศเขา)
พวกเราลงเดินกันที่หน้าห้าง LOTTE ขนาดใหญ่ เพื่อไปยังที่พักที่พวกเราได้จองกันไว้ล้วงหน้าแล้วครับ
เดินทางไปยัง ซอย ที่มีชื่อว่า Toegye-ro 26 – gil (ตอนนี้ google map ยังเปิดไม่ได้เพราะ Sim card ที่ซื้อมายังลงทะเบียนไม่สำเร็จ ?)
เดินไปเดินมา จนรู้สึกได้ว่านานและไกลเป็นกิโลเหมือนกันนะเนียะ แต่ไม่เป็นไร ทนไหวเสมอ….555 แต่ที่สังเกตุเห็นได้ชัดก็คือ การจารจรของบ้านเขาดีมากครับ ไม่มีรถติดให้เห็นเลย การเดินทางบนท้องถนนทุกอย่างเป็นระเบียบมากหรืออาจจะเป็นบางพื้นที่ อันนี้ไม่แน่ใจ
อ้าวล่ะ….ถึงซักทีสำหรับที่พักของพวกเรา K-Guesthouse N-Seoultower 1 ที่จะต้องใช้ชีวิตอยู่ที่แห่งนี้ถึง 3 คืน 4 วัน ด้านหลังที่พักอยู่ใกล้สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังอย่าง หอคอย N Seoul Tower และไม่ไกลกันนัก ก็มีตลาดที่เรียกได้ว่ารวมทั้ง เดิน กิน เที่ยว ช๊อป อยู่ที่เดียวกัน อย่าง ตลาดเมียงดง อยู่อีกด้วย แหม่เพื่อน ๆ เลือกที่พักได้ทำเลเหมาะซะด้วย ?
เช็คอินเข้าห้องพักกันเลย
ห้องพักที่จองไว้ ราคาคืนละ 3,000 บาท ในห้องพักจะเป็นห้องเล็กๆ มีเตียงสองชั้นสำหรับพวกเรา ทั้ง 6 คน มีล๊อกเกอร์ส่วนตัวให้สำหรับทุกคน มีห้องน้ำอยู่ในตัว และมีห้องครัวส่วนรวมอีกทั้งอาหารรองท้องบริการตัวเอง ถามว่าห้องเล็กๆนี่อึดอัดไหมสำหรับคนทั้ง 6 ที่ต้องเข้าไปอยู่ บอกเลยครับว่าไม่อึดอัด แถมนอนหลับกันสบายอีกด้วยสำหรับเตียงนุ่ม ๆ แต่จะรำคาญช่วงเช้า ๆ หน่อย เพราะตึกข้าง ๆ มีการก่อสร้างในช่วงเวลาที่พวกเราไปพักกันพอดี
เอาหล่ะ นอนพักกันสักงีบ เย็นๆ ค่อยไปหาที่เที่ยวกับของกินอร่อยๆ
ตื่นแล้วก็หิวออกเดินทางไปตลาดเมียงดงกันดีกว่า
ตลาดเมียงดงอยู่ห่างจากที่พักไม่ถึง 800 เมตร เดินมาชิวชิว สักครู่เดียวก็ถึงแล้ว
บรรยากาศที่ตลาด คึกคักมาก คนเยอะมาก แต่ไม่ถึงกับแออัด ใครที่ชอบ เที่ยว กิน ช๊อปแหลก ต้องที่นี้เลย ห้ามพลาดเด็ดขาด
ร้านค้าทั้งของใช้ของกิน ตั้งอยู่เต็มทางเดินตลอดสาย
มันหวานเผาเหมาะมากสำรับอากาศหนาวๆแบบนี้ ฟินสุดๆ
ของกินมันช่างเยอะจริงๆ ทั้งเลือกกินไม่ถูก และเรียกชื่อไม่ถูกอีก หนักใจไม่รู้จะกินอะไรเยอะแยะไปหมด
จนมาลองชิม ขนมปลาไม่รู้หรอกว่าเรียกว่าอะไร เห็นเป็นรูปปลาเลยเรียกขนมปลา ที่มีขายในไทยด้วยเยอะพอสมควร พอได้ลิ้มลองรสชาติที่เกาหลีแบบต้นฉบับเฉพาะร้านนี้ สมองมันก็สั่งงานว่าอย่ามาซื้อกินอีก……. แลกกับเงิน 3,000 วอน ที่กินไปมีแต่แป้ง ใส้ ช็อคโกแลต Nutella ก็แห้งๆ แทบไม่รู้รสชาติเลยด้วยซ้ำ
จากนั้นพวกเราต้องมาสดุดกับร้านไก่ย่างร้านนี้ เพราะคนซื้อเยอะมาก เลยลองสั่งกันคนละไม้ แต่บอกเลยว่าไม่เดียวนั้นคงไม่พอเลยต้องขอเบิ้ล เพราะรสชาติไก่ย่างของพี่เขาอร่อยจริงๆ
ราคาอยู่ที่ไม้ละ 100 บาท
ความเด็ดของร้านพี่คนนี้คือเขามีซอสให้เราเลือกทาถึง 6 ระดับ ตั้งแต่ ไม่เผ็ด(Teriyaki Flavor) ยัน โคตรเผ็ด (Hydrogen Bomb) ส่วนตัวของซอสทั้งหมด ชอบ BBQ Flavor มากที่สุดครับ รสชาติลงตัวพอดีอร่อยมากครับ ร้านนี้เด็ดจริง
meatball ย่าง ราดซอสเกรวี่ อร่อยมากกก สำหรับคนที่ชอบทานเนื้อนะครับ
ไก่ทอดต๊อกบกีผัดซอสเกาหลี รสชาติ หวานๆ เผ็ดๆเล็กน้อย เดินไปกินไปเพลินดีครับ
น่ารักครับ ไม่สามารถบรรยายอย่างอื่นได้ 555555
สรุปแล้วพวกเราทั้ง 6 คน เดินเที่ยวกินช๊อปกันที่ตลาดเมียงดง ทั้ง 3 คืนที่ไปพักกันเลย เพราะสะดวก ใกล้ที่พัก และบรรยากาศดีอีกด้วย หาของกินได้ง่ายไม่ต้องไปไกล และอีกอย่างหาซื้อของฝากที่เป็นแบรนด์ยอดนิยมกลับไปฝากทางบ้านได้ง่ายอีกด้วย …. แหม่ๆ ยิ่งใครมีสาวๆ สั่งเครื่องสำอางจากเกาหลีอีกละก็ ต้องเตรียมกระเป๋าให้พอหล่ะ อีกอย่าง อย่าละเมิดกฏการนำสิ่งของออกนอกประเทศด้วยนะครับ
Day 2
วันนี้ พวกเราทั้ง 6 ตัดสินใจหาที่ท่องเที่ยวในระแวกใกล้ๆ หาไปหามาทางอินเตอร์เน็ต พวกเราสะดุดที่ พระราชวังชางด๊อกกุง (Changdeokgung Palace) ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก สามารถเดินเท้าไปได้อย่างสะดวก
จากที่ค้นหาข้อมูล พระราชวังชางด๊อกกุง ได้รับการขึ้นทะเบียนจาก UNESCO ว่าเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม และยังเป็นพระราชวังที่สมบูรณ์ที่สุดของ 5 พระราชวังที่ยังคงเก็บรักษาไว้ของเกาหลีใต้
ก่อนออกเดินทาง…หาของกินรองท้องกันก่อน
วันนี้พวกเรามาฝากท้องกันที่ร้าน mapo dumpling ร้านนี้อยู่ระหว่างที่เราเดินทางไปพระราชวังชางด๊อกกุง
เห็นรูปประกอบหน้าร้านแล้วน่าสนใจดีเลยแวะกันซักหน่อย
จุดเด่นซึ่งแทบจะทุกร้านอาหารของเกาหลีก็คือ การเสิร์ฟเครื่องเคียงประจำชาติมาก่อนนั่นคือ กิมจิ พร้อมกับอื่นๆอีกหลายอย่าง
dumplings ตามความเข้าใจของพวกเราเอง ก็คงเป็นเกี๊ยวนึ่ง ใส้ผัก
ถ้วยนี้คือซุปเนื้อร้อนๆ ทานพร้อมข้าว หวานอร่อยถูกปากเลยครับ
ที่เกาหลีใต้เรียกว่า Kimbub แต่ผมเรียกซูชิ ครับ ใส้ข้างในก็เป็นจำพวก ข้าว ผัก ไข่หวาน
ถึงจะหนาวแค่ก็ไม่หวั่น จัดไอศครีมเป็นของหวานจาก 7-11 ตบท้อง ซัก 1 แท่ง (ในไทยก็มีขายนะครับแต่แพงไปซักหน่อย แท่งละ 100 บาท)
เดินมาซักพัก ก็ถึงแล้ว พระราชวังชางด๊อกกุง ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ด้วยระยะทางร่วม 2 กิโลเมตร
จุดจำหน่ายตั๋วบริเวณหน้าทางเข้า มีนักท่องเที่ยวต่อแถวเข้าคิวกันอย่างไม่ขาดสาย
ตั๋ว 1 ใบต่อคน ราคาอยู่ที่ 3,000 วอน แต่ถ้าอยากเข้าไปในพื้นที่ Secret garden ราคาจะอยู่ที่ 5,000 วอน
ภายในพระราชวัง กว้างขวางและสวยงามมาก
นักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมเยอะพอสมควร ทั้งคนเกาหลี และต่างชาติ
แอบถ่ายภาพสาวๆ เกาหลี ซักหน่อย ?
บางจุดภายในตัวอาคาร เราก็ไม่สามารถเข้าไปได้ เดินชมความงามจากภายนอกเอา
เป็นพระราชวังที่ยังสมบูรณ์มากๆ ยังเก็บซึ่งสถาปัตยกรรมของเกาหลีได้เป็นอย่างดีเลยครับ
ตั้งแต่เดินเข้ามาชมพระราชวังชางด๊อกกุง พวกเราจะเห็นได้ถึงการยังคงรักษาวัฒนธรรมของคนเกาหลีถึงเราจะไม่รู้จักวัฒนธรรมเกาหลีมากนัก เราจะเห็นสาวๆชาวเกาหลีหลายคน แต่งชุด ฮันบก ซึ่งสามารถหาเช่าได้ภายรอบ นอกของพระราชวัง เข้ามาชมอย่างมากมาย
หลังจากเยี่ยมชมพระราชวังชางด๊อกกุงเสร็จ พวกเราจึงออกเดินไปยังพระราชวังเคียงบกกุง ที่อยู่ไม่ไกลกันนัก ซึ่งได้รู้มาว่าเป็นพระราชวังที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีใต้
แต่วันที่เราไปนั้นพระราชวังปิดพอดี เสียใจ ? จึงวางแพลนกันใหม่ โดยพวกเราจะเดินทางไปที่ N Seoul Tower (โซลทาวน์เวอร์) จึงตัดสินใจใช้บริการรถไฟใต้ดินที่ จากสถานี Gyeongbokgung ไปยังสถานี Chungmuro โดยใช้ทางออกที่ 2 จะสามารถไปถึงป้ายรถเมล์เลยครับ แล้วก็รอรถ Shuttle Bus สาย 02 หรือ 05 ก็ได้ เพื่อขึ้นไปยัง N Seoul Tower โดยตรงได้เลย ครั้งนี้เราจ่ายเงินด้วย T money ที่เติมเงินเข้าไปจากตู้บริการที่ตั้งอยู่ในสถานีรถไฟใต้ดิน ค่ารถShuttle Bus ลดราคาเหลือ 1,100 วอน จาก 1,200 วอน
ขึ้นรถ Shuttle Bus มาประมาณ 20 นาที ก็ถึงแล้ว N Seoul Tower สถานที่ที่ใครมาเกาหลีใต้ก็ต้องมาดูวิวให้ได้สักครั้งหนึ่ง อีกทั้งชาวเกาหลีและต่างชาติ ยังบอกว่าเป็นสถานที่สุดโรแมนติกสำหรับคู่รักอีกด้วย ถือว่าเป็นแลนด์มาร์กจุดสำคัญของเกาหลีเลยก็ว่าได้นะครับ เพราะจุดนี้จำทำให้เห็นวิวทิวทัศน์รอบๆอันสวยงามของกรุงโซล
หลังจากลงรถ BUS ก็เดินอีกนิดหน่อยไปที่หอคอย อากาศข้างบนภูเขา หนาวมากกกกกก
มีจุดสำหรับจำหน่ายตั๋วเพื่อขึ้นไปยังบนหอคอย มีทั้งร้านอาหารและจุดชมวิวสูงสุดบนหอคอย
กำแพงกุญแจหลากสี มองแล้ว ลายตาไปหมด
เส้นทางจุดคล้องกุญแจหลากสีสันทอดยาวแสนสวยงาม
แอบมองสาวๆ เขาถ่ายรูปคู่กับกุญแจที่ประดับประดาจนเป็นรูปทรงต้นคริสต์มาส
กำแพงกุญแจคล้องเป็นแถวบนจุดชมวิว อยากหาสาวๆ มาคล้องด้วยซัก 1 คน ฮ่าาา
กล้องชมวิวส่องมองทิวทัศน์ของกรุงโซล ราคาเพียง 500 วอน
มันเป็นสถานที่สุดแสนจะโรแมนติกจริงๆ ถ้ามีคู่มาคล้องกุญแจไปด้วยกันหรือจะชวนกันดินเนอร์กันบนหอคอยก็แสนจะหรูหรา อีกทั้งอากาศหนาวเย็นสบาย พร้อมจุดชิมวิวที่สวยงามสุดๆ ถ้าใครมาเกาหลีใต้แล้วไม่ได้มาที่แลนด์มาร์กแห่งนี้ ถือว่าพลาดอย่างแรงเลยครับ
แล้วเรากับเพื่อนๆ โรแมนติกไหม … Nooooooo ป่ะกลับที่พักกันดีกว่า 555555 (คงเข้าใจอารมณ์กลุ่มชายหนุ่มที่ไปเที่ยวสถานที่ ที่ควรมากับแฟนนะครับ)
Day 3
เข้าสู่อีกวันที่ต้องใช้ชีวิตในทริปนี้อยู่ในเกาหลีใต้ แต่วันนี้เราจะพักกันเป็นคืนสุดท้ายแล้วเพราะเช้าวันรุ่งขึ้นเราต้องไปขึ้นเครื่องเพื่อกลับไทย
วันนี้อากาศเป็นใจ เพราะมีหิมะโปรยลงมา นึกว่าจะไม่ได้สัมผัสหิมะที่เกาหลีซะแล้ว เรียกได้ว่าหนาวซะใจกันเลยทีเดียว อากาศวันนี้อยู่ที่ -8 องศา
เอาเป็นว่าวันนี้เดินหาของกินกับของฝากล้วนๆ แล้วร้านที่เราจะไปกันก็คือร้าน Hong Bar ตั้งอยู่บนชั้น 3 ในย่านเมียงดง เดี๋ยวจะหาว่ามาถึงเกาหลีแต่ไม่ได้กินหมูย่างเกาหลี
ร้าน Hong Bar จะเปิดตั้งแต่ 11.30 น. – 22.00 น. เป็นแบบเดียวกับบุปเฟ่ ซึ่งราคาในแต่ละช่วงเวลาจะแตกต่างกัน คือ Lanch ราคาต่อคนจะอยู่ 11,900 won ส่วน Diner ราคาจะอยู่ที่ 12,900 won
เราเข้าร้านกันเวลาประมาณ เที่ยงครึ่ง ซึ่งร้านยังว่างเยอะคนไม่ค่อยมีซักเท่าไหร่ถือว่าดี
ชุดที่เสิร์ฟของทางร้าน 1 เตาจะได้แบบนี้ 1 ชุด ในเซทก็จะมี เนื้อหมู เนื้อวัว และเนื้อไก่
จัดไปลงเตาย่างกันเลย
โซนนี้เป็นของบุปเฟ่ต์ บริการตัวเอง
มีทั้งกิมจิ และผักแกล้ม ป้ายสีเหลืองไม่รู้เหมือนกันว่าอะไร แต่เดาไว้ก่อนว่าคงเป็นค่าปรับถ้าทานเหลือ
มีปาเก็ตตี้ซอสแดง และซุปอะไรซักอย่างไม่แน่ใจเหมือนกัน
หรือจะเป็นเกี๊ยวทอด และข้าวผัด
แต่รวมๆ แล้วอยากจะบอกว่าพวกเราโคตรพลาดที่ตัดสินใจมากินที่ร้านนี้ ประเด็นคือ มีเนื้อสไลด์ และหมูสไลด์ ที่เป็นบุปเฟ่ต์ แต่พอเนื้อกับหมูสไลด์ หมดแล้ว ทางร้านไม่มีการเติมอีกเลยครับ (คงจะเป็นกฏของทางร้านอยู่แล้ว) เนื้อในตู้มีแค่นิดเดียวตั้งแต่เราเดินเข้าร้านมา มันเป็นการกินบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่างที่ของสำหรับปิ้งย่างหมด แล้วจะกินอะไรต่อหละทีนี้ สปาเก็ตตี้เหรอ เหอะๆ อีกอย่างคือรสชาติเข้าขั้นที่เรียกได้ว่าไม่อร่อย น้ำจิ้มนี้ห่วยแตกมากๆ (มันเหมือนเต้าเจี้ยวล้วนๆ) สรุปแล้วใครที่ไปเที่ยวก็อย่าพลาดแบบพวกเราละกันนะครับ
เอาละ กินอิ่มแล้วก็เดินหาของฝากกันดีกว่าครับ…..
แม้จะอยู่ในช่วงเวลากลางวันของวันธรรมดา ผู้คนที่เมียงดงก็ยังคึกคักไม่แพ้เวลากลางคืนเลย
ร้านแรกที่เข้าไปเลยก็ที่นี้เลยครับ STYENANDA 3CE แบรนด์ดังของฝั่งเกาหลีเลยครับ…จัดไป เดินหาลิปสติกที่เพื่อนฝากซื้อ
แหม่ๆๆๆ ร้านใหญ่ซะด้วยมีตั้ง 5 ชั้น (6 ชายฉกรรจ์ เดินเข้าร้านเครื่องสำอาง 55555)
รู้สึกเขินเมื่อเดินเข้ามาในร้าน
การเลือกซื้อของพวกเราไม่ใช่เรื่องยากครับ แค่เอารูปสินค้าให้พนักงานดู..อิอิ แต่ถ้าเป็นสาวๆ เข้าไปเลือกซื้อแล้วหละก็ คงจุใจกันเลยทีเดียว
ส่วนใหญ่สินค้าที่เหมาะแก่การซื้อเป็นของฝากหรือเพื่อนฝากซื้อราคาถูกกว่าที่ประเทศไทยเรา มักจะของจำพวก เครื่องสำอาง ดูแลผิวต่างๆ ด้านแฟชั่นจำพวกเสื้อผ้า อย่างแบรนด์ของทางฝั่งยุโรป ราคาก็ไม่ต่างจากที่ประเทศไทยเรามากนัก
อีกหนึ่งแบรนด์ดังสำหรับสาวต้องที่ ETUDE เลยครับ เดินไปซอยไหนก็เจอเต็มไปหมด
ถ่ายรูปคุณลุงขณะโบกเรียกลูกค้าเข้าร้านอาหาร
เดินไปเดินมาได้อีกหนึ่งของฝากสำคัญจากเกาหลี ก็ต้อง เป็นสตอเบอร์รี่ลูกโตๆ เลยครับ หวานฉ่ำจริงๆ
มาถึงอาหารมื้อเย็นของพวกเรา ซึ่งจะขอแก้ตัวจากเมื่อกลางวัน…. ร้านที่เราเข้ามาไม่รู้จริงๆว่าชื่ออะไร เพราะเขาไม่มีภาษาอังกฤษเลย
ภายในร้านตกแต่งดูดีใช้ได้เลย
เครื่องเคียงมาเสิร์ฟก่อน เป็นแบบนี้ทุกร้าน
สั่งชุดผักหมู เนื้อ มาเสิร์ฟ
และสั่งชุดซีฟู้ดที่มาครบ ทั้ง หมึก หอย กุ้ง และปู
ได้ครบแล้วก็จับยัดลงหม้อเลยครับ
ป้าเจ้าของร้านให้บริการทั้งต้มทั้งตักแจกให้ แล้วที่สำคัญรสชาติไม่ธรรมดาครับ ถือว่าร้านนี้ไม่พลาดแล้วครับ ทั้งของสดและอร่อย น้ำจิ้มยังถูกปากอีกต่างหาก
มาถึงเกาหลีทั้งทีก็ต้องสั่งเมนู เปิปพิสดารกันบ้างหล่ะ ในใบเมนูนี้เขียนว่า octopus หรือที่เกาหลีเรียกว่า ซันนักจิ ที่ยังดิ้นดุ๊กดิ๊ก อยู่บนจาน เวลากินต้องชุปกับน้ำมันเพื่อไม่ให้ติดคอ
รสชาติแทบไม่รู้สึกเลยครับ แปลกอย่างเดียว จัดคู่กับเหล้าโซจู อ่าส์ส์ส์ หลับสบายละคืนนี้
ค่าเสียหายทั้งหมดร้านนี้อยู่ที่ประมาณ 68,000 หาร 6 คนก็ถือว่าคุ้มครับ ทั้งอิ่มและอร่อย ไม่พลาดเหมือนร้านก่อนๆแล้ว
จบทริปสำหรับวันนี้แล้วเตรียมตัวเดินทางกลับไทยในวันรุ่งขึ้น
Day 4
วันนี้คือวันที่เราต้องเดินทางกลับประเทศไทยกันแล้ว โดยต้องเดินทางไปที่สนามบิน Incheon
ก่อนกลับแวะหาอะไรรองท้องรอบเช้ากัน โดยพวกเราตัดสินใจกินโจ๊กกัน
เดินเข้าร้านมาอยู่บนชั้น 2 ภายในร้าน ติดภาพถ่ายมากมาย (เหมือนพวกคนดังรายการทีวี มาทานกันเยอะ)
เครื่องเคียงพร้อมเสริฟ
แต่สิ่งที่พวกเราทุกคนเห็นตรงกันคือ รสชาติมันสุดที่จะสวนทางกับราคาแบบสุดๆ คือ ถ้วยนี้ ราคา 500 บาท ย้ำคือ 500 บาทไทย แต่รสชาติสุดแสนห่วยที่สุดเท่าที่เคยกินโจ๊กมาเลยครับ(หรืออาจจะถูกปากคนเกาหลีก็ได้ แต่สำหรับพวกเราบอกเลยว่าไม่) ภายในโจ๊ก จะมีไข่ 1 ฟอง และกุ้งตัวเล็กๆ อีก 3 ตัว 555555
เอาหละ กินเสร็จแล้ว พวกเราก็หาสถานีรถไฟใต้ดินที่อยู่ใกล้ๆ เพื่อที่จะเดินทางไปยัง Seoul Station และหาสถานนีรถไปที่จะไปยังสนามบินอินชอน
ถึงแล้วหน้าสถานี Seoul Station
เดินไปตามทางลูกศร Airport Railroad ชี้ เพื่อที่จะไปยังจุดซื้อตั๋วรถไฟไปยังสนามบิน
จุดให้บริการซื้อตั๋วรถไฟไปยังสนามบิน
มีพนักงานคอยให้บริการเราอยู่ (ผิวเนียนดีจริงๆ 5555)
จัดไปตั๋วสำหรับ 6 ที่นั่ง ถ้ามาไม่ถึง 4 คน ราคาต่อที่นั่งจะเป็น 6,900 วอน แต่ถ้ามา 4 ขึ้นไปแบบพวกเรา ราคาตั๋วต่อที่นั่งจะเป็น 6,000 วอน ทั้งหมดนี้เราจ่ายด้วยเงินสด เป็นราคา 36,000 วอน
ซื้อตั่วเสร็จก็ลงลิฟท์ ไปที่ชั้น B7 เพื่อรอรถไฟ
รถไฟจะมาถึงเวลา 11.58 น. และจะพาเราไปถึงที่สนามบินอินชอน เวลา 12.41 น. เวลาการออกรถมักจะตรงเวลาเสมอ ฉะนั้นพวกเราควรที่จะไปให้ตรงเวลานะครับ
นั่งรอเวลาเพียงแปปเดียว ขบวนของเราก็มาถึงแล้ว
ภายข้างในนี่กว่าขวางสบาย และคนไม่ค่อยเยอะด้วย
แชะภาพวิวจากบนรถไฟซักหน่อย
เพียงเวลาประมาณ 40 นาที ก็ถึงที่สนามบินแล้ว
Flight ของเราคือ XJ 709 ซึ่งจะเดินทางเวลาประมาณ 16.25 น. ตามเวลาของเกาหลีใต้
เวลายังพอมีเหลือพวกเราจึงมาหาอะไรรองท้องกันก่อนขึ้นเครื่อง
จัดไปเต็มอิ่มเลยอาหารมื้อนี้ เตรียมพร้อมก่อนขึ้นเครื่อง
มานั่งรอเวลาเครื่องขึ้น และนี่คือเครื่องที่จะพาเรากลับประเทศไทย
ถึงเวลาที่ต้องโบกมือลา เกาหลีใต้ สำหรับการเที่ยวเกาหลีใต้ในครั้งนี้เราและกลุ่มเพื่อนๆ ต้องขอบอกเลยว่าถ้ามีโอกาสต้องมาเที่ยวอีกให้ได้ มีอีกหลายอย่างและหลายสถานที่ที่ยังไม่ได้ไป ถึงแม้จะมีบางอย่างที่พลาดไปหลายครั้ง แต่ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆอีกครั้งหนึ่งสำหรับการเดินทางท่องเที่ยวของพวกเรา
สรุปค่าใช้จ่าย
ค่าเครื่องบิน ต่อคน คนละประมาณ 10,000 บาท ไป – กลับ
ค่าที่พัก 3 คืน 9,000 บาท หาร 6 คน
ค่าใช้จ่าย ส่วนตัว คนละ 10,000 บาท (แลกเป็นเงิน วอนไปจากไทย)
รวมทั้งสิ้นแล้ว เราเสียค่าใช้จ่ายทั้งหมดคนละ 21,500 บาทในทริปครั้งนี้ (เหลือกลับด้วยนะครับ อิอิ)
ครั้งหน้าพวกเราจะไปเที่ยวไหนหรือการเดินทางอย่างไร โปรดติดตามไว้ด้วยนะครับ เพื่อเป็นแนวทางและอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับการท่องเที่ยวของใครหลายๆคน